ขอบเขตของพื้นที่การค้าคืออะไร? ข้อดีของการกำหนดขอบเขตและพื้นที่การค้าที่ถูกต้องจำแนกตามระยะทาง / ประเภทธุรกิจ

Area Marketing
This article can be read in about 13 minutes.

หลายท่านทราบดีว่าพื้นที่การค้าคือ “ขอบเขตที่ผู้ใช้ร้านค้าอาศัยอยู่”แต่
ขอบเขตพื้นที่การค้ากว้างแค่ไหนกัน และจะตัดสินใจอย่างไร?แล้วจะใช้ขอบเขตพื้นที่การค้ากับร้านของคุณอย่างไร?

ในบทความนี้ จะอธิบายประโยชน์ที่ได้รับจากการกำหนดขอบเขตพื้นที่การค้า ระยะทาง และขอบเขตพื้นที่การค้าที่ถูกต้องสำหรับแต่ละประเภทธุรกิจ

การกำหนดขอบเขตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวิเคราะห์พื้นที่การค้า

ความหมายของพื้นที่การค้าเป็นศัพท์ทางการตลาด หมายถึง ขอบเขตที่ลูกค้าจำนวนมากซึ่งมีแนวโน้มที่จะใช้ร้านของเราอาศัยอยู่
“การวิเคราะห์พื้นที่การค้า” เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนความสำเร็จของธุรกิจ ด้วยการสำรวจ รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณต่างๆ เช่น ประชากร ครัวเรือน สภาพวิถีชีวิต ปริมาณการจราจร และสถานที่โดยใช้ขอบเขตระยะของพื้นที่การค้า

การทำข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะพื้นที่ของพื้นที่การค้า ผ่านการวิเคราะห์พื้นที่การค้า จะช่วยปรับการตลาดให้เหมาะกับแต่ละพื้นที่ได้
ดังนั้นก่อนอื่น ต้องกำหนดระยะพื้นที่การค้าของร้านของคุณอย่างถูกต้อง และแชร์กับทีมการตลาดของคุณด้วย

ประโยชน์ของการกำหนดขอบเขตพื้นที่การค้า


การกำหนดขอบเขตระยะพื้นที่การค้า จะนำมาซึ่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อนโยบายบริหารและการพัฒนาร้าน และเป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมการพัฒนาของบริษัท ณ จุดนี้ เราจะอธิบายประเภทของการวิเคราะห์และการพัฒนาขอบเขตพื้นที่การค้าที่ใช้จริง

มาเรียนรู้ประโยชน์ของการกำหนดพื้นที่การค้าและนำไปใช้ในการตลาดของคุณ

สามารถกระชับพื้นที่ที่ต้องการส่งเสริมการขายให้แคบลงได้

หากกำหนดขอบเขตพื้นที่การค้าได้อย่างถูกต้อง จะทำให้การกระชับพื้นที่ที่ต้องการส่งเสริมการขายให้แคบลงได้ง่ายขึ้น
โปรโมชันเพื่อดึงดูดลูกค้า เช่น แผ่นพับ การประกาศแคมเปญ และการออกบัตรสะสมคะแนน มีค่าใช้จ่ายสูง เพื่อไม่ให้เสียต้นทุนที่มีอยู่อย่างจำกัด สิ่งสำคัญคือต้องดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการขายในพื้นที่ที่สามารถคาดหวังผลลัพธ์ได้ด้วยการหาตำแหน่งที่แน่นอน อย่างไรก็ตาม อาจจะเป็นการยากที่จะกระชับพื้นที่ให้แคบลง เว้นแต่จะรู้ว่ามีอะไรอยู่รอบๆ ร้านค้าหรือบริษัทของคุณ และประชากรประเภทใดอาศัยอยู่บริเวณนั้น

หากกำหนดขอบเขตพื้นที่การค้าและทำการวิเคราะห์ ลักษณะของแต่ละพื้นที่ก็จะมีความชัดเจน
ดังนั้น สามารถเห็นกลยุทธ์เฉพาะสำหรับการส่งเสริมการขายที่เหมาะสมได้ เช่น “แจกจ่ายใบปลิวในย่านที่อยู่อาศัยภายในขอบเขต” และ “การขายจะดีกว่าในช่วงสุดสัปดาห์ เพราะหลายครัวเรือนในพื้นที่การค้ามีลักษณะเป็นครอบครัว”

ง่ายต่อการตัดสินใจในการพัฒนาร้าน

เพื่อให้บริษัทเติบโต จำเป็นสำหรับสาขาในการพัฒนาแฟรนไชส์
การกำหนดขอบเขตพื้นที่การค้ายังเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการพัฒนาร้านอีกด้วย

ตัวอย่างเช่น เมื่อเปิดร้านใหม่จะมีที่ตั้งและอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งที่ถูกเลือก
เนื่องจากการเลือกที่ตั้งมีอิทธิพลอย่างมากต่อผลประกอบการของร้านค้า พื้นที่เปิดร้านหรือเปิดกิจการจึงต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบ แต่หากไม่ทราบสถานการณ์รอบที่ตั้งที่มีศักยภาพ ก็จะไม่สามารถเลือกได้ ในกรณีเช่นนี้ การกำหนดขอบเขตพื้นที่การค้าแต่ละแห่ง และการเปรียบเทียบข้อมูลที่วิเคราะห์ จะทำให้ตัดสินได้ง่ายขึ้นว่า “ส่วนใดมีประชากรมากกว่า และรวบรวมลูกค้าได้ง่ายกว่า”

นอกจากนี้ จะทำให้หลีกเลี่ยง Cannibalization หรือ “การสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้แก่กันและกันเองภายในแบรนด์” ได้ง่ายขึ้น ในกรณีที่มีสาขาอื่นของบริษัทเราเองในบริเวณนั้น หากมีการกำหนดขอบเขตพื้นที่การค้าเอาไว้ล่วงหน้า

มีประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า

การกำหนดขอบเขตพื้นที่การค้าเป็นสิ่งจำเป็น ไม่เพียงแต่สำหรับระยะทางและทำเลที่ตั้ง ยังรวมถึงการวิเคราะห์ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นด้วย เมื่อแปลงลักษณะของผู้คนที่อาศัยอยู่ในย่านการค้าให้เป็นดิจิทัล การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ก็สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ หากกำหนดเป้าหมายกลุ่มที่มีสัดส่วนผู้คนจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในพื้นที่การค้า จะสามารถพัฒนาและส่งเสริมการขายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพพื้นฐานของธุรกิจ เช่น “ใคร” “อะไร” และ “เมื่อไหร่” ที่จะขาย สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนโดยการกำหนดขอบเขตพื้นที่การค้าเท่านั้น

การกำหนดขอบเขตพื้นที่การค้าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการวิเคราะห์พื้นที่การค้า

เพื่อที่จะใช้ข้อมูลวิเคราะห์พื้นที่การค้าสำหรับกลุ่มเป้าหมายของบริษัท พื้นที่ส่งเสริมการขาย และการพัฒนาร้านค้า ก่อนอื่นจำเป็นที่ “การกำหนดขอบเขตพื้นที่การค้า” ต้องมีความชัดเจนในช่วงที่จะวิเคราะห์

ในการกำหนดขอบเขตพื้นที่การค้า อันดับแรกจำเป็นต้องกำหนดระยะห่างจากร้านค้าของคุณ เช่น “พื้นที่การค้าชั้นแรกอยู่ที่ประมาณ…กิโลเมตร”
อย่างไรก็ตาม ระยะห่างของพื้นที่การค้านั้น ไม่ได้ถูกกำหนดในระยะทางที่ตายตัวเสมอไป ในพื้นที่การค้า ร้านค้าที่จำหน่ายของใช้ในชีวิตประจำวันและอาหารว่างอาจมีพื้นที่ขนาดเล็ก และอาจเป็นไปได้ว่าสินค้าหายากและราคาสูงอาจจะขยายให้มีพื้นที่กว้างขึ้น เมื่อกำหนดขอบเขตพื้นที่การค้าแล้ว ให้ตรวจสอบว่า ระยะห่างของพื้นที่การค้าโดยเฉลี่ยคือเท่าใด สำหรับผลิตภัณฑ์และบริการที่บริษัทของคุณให้บริการ

นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่การค้าหลายประเภทตามระยะทาง ลองดูระยะของพื้นที่การค้าที่เหมาะสมของบริษัทของคุณเอง ซึ่งจะช่วยให้วิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประเภทของขอบเขตพื้นที่การค้าที่ต้องรู้ไว้


พื้นที่การค้าที่ใช้ในการตลาดเชิงพื้นที่ แบ่งเป็นขอบเขตระยะหลักๆ มี 4 ประเภท โดยขอบเขตจะแตกต่างกันไปตามระยะทางจากร้าน และแต่ละอันก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง เช่น ความถี่ในการเข้าชมและวิธีการเดินทาง
ลองตรวจสอบเกี่ยวกับขอบเขตพื้นที่การค้า 4 ช่วงเพื่อให้วิเคราะห์ได้อย่างราบรื่นด้วยตลาดเชิงพื้นที่

พื้นที่การค้าในระยะที่เข้าถึงง่าย

พื้นที่การค้าในระยะที่เข้าถึงง่าย หมายถึง ขอบเขตพื้นที่การค้าที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงที่ตั้งของร้านได้ในเวลาประมาณ 5 นาที ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการตลาดเชิงพื้นที่ เนื่องจากเป็นระยะห่างที่ลูกค้าสามารถมาที่ร้านได้โดยไม่รู้สึกเครียด ขณะเดียวกันก็ไม่ค่อยมีการแข่งขันภายในบริเวณดังกล่าว และง่ายต่อการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด
โดยเป็นพื้นที่การค้าที่สำคัญทางธุรกิจที่มีผู้ใช้จำนวนมากเดินเท้ามาที่ร้าน เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ และร้านอาหารหน้าสถานี แต่อาจเทียบได้กับขอบเขตพื้นที่การค้าชั้นแรกซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจที่มักใช้โดยรถไฟหรือรถยนต์

พื้นที่การค้าชั้นแรก

พื้นที่การค้าชั้นแรก หมายถึง พื้นที่การค้าที่ลูกค้าและผู้ใช้บริการจะใช้เวลาประมาณ 10 ถึง 15 นาทีในการมาถึงร้าน หรือเรียกอีกอย่างว่า “พื้นที่การค้าที่ใกล้ที่สุด”
ระยะทางจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวิธีการเดินทาง แต่เมื่อเดินที่ระยะทางประมาณ 800 เมตร ถึง 1.2 กิโลเมตร ยิ่งพื้นที่การค้าไกลออกไปเท่าใด ผู้ใช้ก็มีแนวโน้มน้อยลงเท่านั้น ดังนั้นพื้นที่การค้าชั้นแรกจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด และยิ่งจำนวนประชากรในพื้นที่นี้มากขึ้น แนวโน้มในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดก็จะสูงขึ้น

พื้นที่การค้าชั้นที่สอง

พื้นที่การค้าชั้นที่สอง หรือเรียกอีกอย่างว่า “พื้นที่การค้าระดับกลาง” เป็นขอบเขตพื้นที่การค้าที่ผู้ใช้มีโอกาสที่จะเยี่ยมชมร้านค้า 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์
ขอบเขตพื้นที่การค้าชั้นที่สองแตกต่างกันอย่างมาก ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ แต่สำหรับเกณฑ์นั้น พื้นที่ดังกล่าวมีตั้งแต่ 10 ถึง 15 นาทีโดยจักรยาน ไปจนถึงประมาณ 10 ถึง 15 นาทีโดยรถยนต์ เมื่อแปลงเป็นระยะทางจะอยู่ที่ประมาณ 3 กิโลเมตร ถึง 10 กิโลเมตร หากมีแม่น้ำ รางรถไฟ หรือสิ่งกีดขวางอื่นๆ ทางกายภาพ หรือมีคู่แข่ง ระยะของพื้นที่นั้นอาจถูกจำกัดให้แคบลงได้

พื้นที่การค้าชั้นที่สาม

พื้นที่การค้าชั้นที่สาม เรียกอีกอย่างว่า “พื้นที่การค้าร้านเฉพาะอย่าง” เนื่องจากเป็นพื้นที่การค้าที่ผู้ใช้อาจมาใช้หลายครั้งต่อเดือน หมายถึง พื้นที่ค่อนข้างกว้างภายในพื้นที่การค้า โดยเกณฑ์คือประมาณ 30 ถึง 40 นาทีหรือมากกว่าด้วยรถยนต์หรือรถไฟ เป็นพื้นที่การค้าที่ไม่ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมที่ใช้เป็นประจำทุกวัน แต่เป็นอุตสาหกรรมที่หายากและมีความเฉพาะทางสูง การตลาดเชิงพื้นที่ที่พิถีพิถันจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาลูกค้า

สรุป: (ประโยคสรุปบทความทั้งหมด)

การกำหนดขอบเขตพื้นที่การค้าเป็นหนึ่งในแนวคิดที่จำเป็นสำหรับหน้าร้านในการเพิ่มยอดขาย
การกำหนดระยะดังกล่าวสำหรับวิเคราะห์พื้นที่การค้า ไม่สามารถกำหนดขอบเขตเป็น “จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง” ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ต้องพิจารณามูลค่าของสิ่งที่บริษัทของคุณให้บริการ และตรวจสอบประเภทของระยะพื้นที่การค้าที่เหมาะสม

หากสามารถกำหนดขอบเขตพื้นที่การค้าได้ถูกต้อง ก็จะเป็นปัจจัยที่ดีในการส่งเสริมการขาย การพัฒนาร้าน และการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ดังนั้นหากคุณต้องการปรับปรุงผลการดำเนินธุรกิจ ให้เริ่มต้นด้วยการกำหนดขอบเขตพื้นที่การค้าให้ถูกต้องนั่นเอง

Copied title and URL