อุปกรณ์ทางดิจิทัล เช่น สมาร์ทโฟนและพีซีที่ผู้คนจำนวนมากใช้กันนั้นมาจะมีเทคโนโลยีไอทีที่เรียกว่า ระบบนำทางบอกตำแหน่ง ซึ่งทำหน้าที่บอกตำแหน่งของเจ้าของอุปกรณ์เหล่านั้น
ข้อมูลตำแหน่งที่ส่งมาจากอุปกรณ์ดิจิทัลนั้นไม่เพียงแต่เป็นแอปพลิเคชันฟังก์ชันแผนที่ในการค้นหาเส้นทางเท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาใช่ร่วมกับการทำงานการตลาดขององค์กรได้อีกด้วย
ดังนั้นเราขออธิบายภาพรวม วิธีการใช้งาน และข้อดีข้อเสียของ “การกำหนดเป้าหมายตามตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ (Geotargeting)” ซึ่งเป็นวิธีการทางการตลาดที่ประยุกต์ใช้ข้อมูลด้านตำแหน่งที่ตั้งของสถานที่
- การกำหนดตำแหน่งที่ตั้งเป้าหมายคืออะไร
- “การโฆษณาแบบ การกำหนดเป้าหมายทางภูมิศาสตร์” โดยใช้ข้อมูลพิกัดที่ตั้งคืออะไร?
- 4 วิธี สำหรับรับข้อมูลตำแหน่งและลักษณะเฉพาะของข้อมูลเหล่านั้น
- ข้อดีของการใช้ข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งเพื่อการเผยแพร่โฆษณา
- การกำหนดเป้าหมายทางภูมิศาสตร์มีข้อเสียใด ๆ หรือไม่?
- บทสรุป: การใช้ข้อมูลพิกัดตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เพื่อการเผยแพร่โฆษณาให้มีประสิทธิภาพสูง
การกำหนดตำแหน่งที่ตั้งเป้าหมายคืออะไร
การกำหนดพื้นที่เป้าหมาย เป็นวิธีการทำการตลาดที่รับข้อมูลตำแหน่งภูมิศาสตร์ที่ส่งมาจากระบบและจำกัดพื้นที่เป้าหมายให้แคบลงและให้ได้พื้นที่เป้าหมายที่แม่นยำขึ้น
เรียกอีกอย่างว่า การกำหนดพื้นที่เป้าหมายทางภูมิศาสตร์ (Geotargeting) ข้อมูลที่สามารถรับได้นั้นไม่เพียงแต่บอกตำแหน่งปัจจุบัน
ของพื้นที่เป้าหมายและสถานที่ที่พวกเขาอยู่มาเป็นเวลานานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสามารถบอกประวัติทางพฤติกรรมของพวกเขาได้ด้วย
“การโฆษณาแบบ การกำหนดเป้าหมายทางภูมิศาสตร์” โดยใช้ข้อมูลพิกัดที่ตั้งคืออะไร?
“การโฆษณาแบบการกำหนดเป้าหมายทางภูมิศาสตร์ Geotargeting” คือบริการที่สามารถรับข้อมูลตำแหน่งเป้าหมายผ่านทางสมาร์ทโฟนหรือพีซี และนำเสนอโฆษณาบนเว็บที่เหมาะกับแต่ละกลุ่มเป้าหมายตามเงื่อนไข
การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมายทางภูมิศาสตร์ได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการโฆษณาบนเว็บที่มีความแม่นยำสูง ซึ่งดึงดูดความสนใจตามตำแหน่งปัจจุบันและประวัติพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของของเป้าหมาย
วิธีการกำหนดเป้าหมายโดยใช้ระบบข้อมูลบอกตำแหน่งที่ตั้ง
การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมายทางภูมิศาสตร์เป็นวิธีการกำหนดเป้าหมายที่ใช้ข้อมูลตำแหน่งที่ได้รับจากระบบเครือข่าย เช่น GPS, Wi-Fi, อุปกรณ์บีคอน และที่อยู่ IP
GPS และ Wi-Fi ที่ระบุตำแหน่งของผู้ใช้โดยอิงจากข้อมูลที่ส่งมาจากสมาร์ทโฟนและพีซี ส่วนอุปกรณ์บีคอนซึ่งส่งสัญญาณได้โดยตัวเองภายในระยะทางที่จำกัด มีความแม่นยำในการรับข้อมูลเชิงตำแหน่งและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน
4 วิธี สำหรับรับข้อมูลตำแหน่งและลักษณะเฉพาะของข้อมูลเหล่านั้น
มี 4 วิธี ในการรับข้อมูลพิกัดตำแหน่ง
The first location information system that many people think of is GPS, which is used for maps and car navigation systems.
In addition to GPS, there are other systems that transmit the target’s location and behavior history, so let’s take a look at the characteristics, advantages, and disadvantages of each.
ระบบที่บอกข้อมูลกตำแหน่งที่ตั้งในการนำทาง ที่หลายรู้จัก คือ GPS ซึ่งใช้สำหรับแผนที่และระบบนำทางรถยนต์
นอกจาก GPS แล้วยังมีระบบอื่น ๆ ที่ส่งตำแหน่งและประวัติพฤติกรรมของเป้าหมายได้ ดังนั้นเรามาดูคุณลักษณะ ข้อดีและข้อเสียของแต่ละระบบกัน ดังนี้
วิธีที่ 1: GPS
GPS (Global Positioning System)คือ ระบบการหาตำแหน่งหรือระบบที่รับและวัดกำหนดข้อมูลตำแหน่งโดยรับสัญญาณต่างๆ เช่น ตำแหน่งของดาวเทียมและเวลาที่ส่งสัญญาณ GPSซึ่งติดตั้งอยู่ในสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ดิจิทัล
ความแม่นยำของ GPS ได้รับการปรับปรุงโดยการส่งข้อมูลจากดาวเทียมหลายดวง ดังนั้น ข้อผิดพลาดจึงอยู่ระหว่างหลายสิบเซนติเมตรไปจนถึงระดับเมตร GPS เป็นระบบที่สามารถวัดข้อมูลตำแหน่งที่แม่นยำได้ แต่ข้อเสีย คือ
ข้อมูลพฤติกรรมส่วนบุคคลอาจถูกเปิดเผยหรือที่อยู่ปัจจุบันของคุณอาจถูกระบุได้เนื่องจากมีการเก็บข้อมูลของตำแหน่งไว้
วิธีที่ 2: Wi-Fii
Wi-Fiเป็นระบบที่เชื่อมต่อกับ LAN ใช้เครือข่ายไร้สายです。
เมื่อเชื่อมต่อกับ Free Wi-Fi ที่ติดตั้งในเมือง สถานี ร้านกาแฟ ฯลฯ ข้อมูลการเชื่อมต่อจะถูกส่งออกไป ทำให้คุณสามารถรู้ตำแหน่งของเป้าหมายได้ แม้ว่าการระบุตำแหน่งจะด้อยกว่า GPS แต่ก็มีความแม่นยำพอสมควร โดยมีคลาดเคลื่อนเชิงตำแหน่งตั้งแต่หลายเมตรไปจนถึงหลายสิบเมตร
ข้อดีของ Wi-Fi คือสามารถรู้ข้อมูลตำแหน่งได้แม้ในที่ร่ม ความแม่นยำในการรับสัญญาณ GPS มักจะลดลงเมื่ออยู่ในที่ร่มหรือที่ๆ มีสิ่งบดบัง เช่น หลังคา สะพาน เป็นต้น
แต่ Wi-Fi สามารถวัดได้แม้ในใต้ดิน หากคุณมีจุดเชื่อมต่อ
ในทางกลับกัน มีข้อเสีย คือ ไม่สามารถวัดข้อมูลตำแหน่งได้ หากเป้าหมายอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีจุดเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือหากปิด Wi-Fi
วิธีที่ 3: อุปกรณ์บีคอน/บลูทูธ
อุปกรณ์บีคอน คือระบบที่ใช้อุปกรณ์ในการเชื่อมต่อข้อมูลที่ติดอยู่กับอาคารเพื่อรับข้อมูลตำแหน่ง โดยใช้ฟังก์ชันบลูทูธของอุปกรณ์ดิจิทัลของเป้าหมาย
รัศมีที่มีประสิทธิภาพของสัญญาณที่ปล่อยออกมาจากบีคอนคือ 10 ถึง 100 เมตร และข้อผิดพลาดอยู่ที่ประมาณ 1 ถึง 5 เมตร.
เนื่องจากคุณสามารถทราบตำแหน่งของอุปกรณ์ดิจิทัล เช่น สมาร์ทโฟน ที่เปิดบลูทูธในอาคารได้ คุณจึงสามารถตรวจสอบพฤติกรรมการซื้อของกลุ่มเป้าหมายได้ อย่างไรก็ตาม
ระยะการส่งข้อมูลนั้นสั้นและไม่เหมาะสำหรับการรับข้อมูลตำแหน่งในพื้นที่กว้าง
วิธีที่ 4: ที่อยู่ IP
ที่อยู่ IP คือ หมายเลขประจำตัวที่กำหนดให้กับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย
เนื่องจากรูปแบบการจัดสรรที่อยู่ IP ได้รับการกำหนดรูปแบบไว้เฉพาะตัวในระดับหนึ่ง จึงสามารถหาค่าละติจูดและลองจิจูดโดยประมาณได้
อย่างไรก็ตาม ความแม่นยำในการวัดจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่าระบบอื่นๆ และไม่เหมาะสำหรับการวัดข้อมูลตำแหน่ง
ข้อดีของการใช้ข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งเพื่อการเผยแพร่โฆษณา
ความต้องการในการเผยแพร่โฆษณาโดยใช้ข้อมูลตำแหน่งหรือข้อมูลทางภูมิศาสตร์กำลังเพิ่มขึ้น เนื่องจากสมาร์ทโฟนและพีซีได้รับความนิยมมากขึ้น
ประโยชน์จากการใช้ข้อมูลพิกัดตำแหน่งในการนำเสนอโฆษณาคืออะไร?
เราได้ยกตัวอย่างประเด็นที่สามารถนำไปใช้ในงานการตลาดในอนาคตมาพิจารณา ดังนี้
ข้อดีที่ 1: สามารถวัดประสิทธิผลการเผยแพร่การโฆษณาได้
เมื่อใช้ข้อมูลตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ในการเผยแพร่โฆษณา เนื่องจากการเผยแพร่ทำได้ผ่านเว็บจึงมีข้อดี คือ สามารถรู้การตอบสนองของกลุ่มเป้าหมายต่อการเผยแพร่โฆษณาได้ เช่น จำนวนผู้ใช้ที่คลิกโฆษณาจริง และจำนวนผู้ที่เยี่ยมชมร้านค้าหลังจากดูโฆษณา
กล่าวกันว่าการวัดประสิทธิผลของกลยุทธ์การโฆษณาเป็นเรื่องยาก อย่างไรก็ตาม การโฆษณาโดยใช้ข้อมูลตำแหน่งทางภูมิศาสตร์สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณได้ ทำให้กำหนดเป้าหมายและวัดประสิทธิผลได้ง่ายขึ้น
ข้อดีที่ 2: คุณสามารถสร้างกลยุทธ์การโฆษณาให้เข้ากับแต่ละภูมิภาคได้
ในการเผยแพร่โฆษณาโดยใช้ข้อมูลตำแหน่ง จะสามารถระบุพื้นที่ในการเผยแพร่โดยละเอียดได้ เช่น “เป้าหมายที่เคลื่อนที่ไปภายในรัศมี XX กม. จากร้านค้า”
ประยุกต์ใช้ให้เข้ากันกับร้านค้าในชุมชนได้ดี เพราะสามารถกำหนดเป้าหมายในบริเวณรอบร้านได้ โดยการจำกัดพื้นที่ให้แคบขึ้น
ข้อดีอีกประการหนึ่ง คือ คุณสามารถสร้างโฆษณาที่ตอบสนองความต้องการของผู้คนได้โดยอิงจากประวัติพฤติกรรมการใช้ชีวิตของพวกเขา เช่น ผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นเป็นเวลานาน หรือผู้ที่เข้าออกเพื่อทำงานหรือเรียนหนังสือ
ข้อดีที่ 3: ค้นหาลูกค้าเป้าหมายได้ง่าย
การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมายตามตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ช่วยให้คุณสามารถติดตามและวิเคราะห์ประวัติพฤติกรรมการใช้ชีวิตของลูกค้าเป้าหมายของคุณโดยอิงจากข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งมีข้อดี คือ สามารถรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าเป้าหมายของคุณเมื่อพวกเขาเดินทางไปที่ร้านค้าของคุณ และเก็บข้อมูลสิ่งที่พวกเขาสนใจได้ง่ายขึ้น
การกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนและระบุว่า “จะนำเสนออะไรให้ใคร” จะทำให้การเผยแพร่โฆษณามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ไม่เพียงแต่ใช้สำหรับกลยุทธ์การโฆษณาเท่านั้น แต่ยังใช้สำหรับการทบทวนกลยุทธ์และการดำเนินงานทางการตลาดอื่น ๆ ได้ด้วย
การกำหนดเป้าหมายทางภูมิศาสตร์มีข้อเสียใด ๆ หรือไม่?
การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมายทางภูมิศาสตร์ โดยใช้ข้อมูลตำแหน่งเหมาะสำหรับการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายภายในพื้นที่ที่กำหนด และเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงในการเพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับร้านค้าและบริการ
ในทางกลับกันก็มีข้อเสีย คือ การเชื่อมโยงการซื้อและบริการจากการเผยแพร่โฆษณาไปยังผู้ซื้อโดยตรงนั้นทำได้ยาก
วางแผนกลยุทธ์ของคุณอย่างมีหลักการเพื่อให้คุณสามารถใช้วิธีการโฆษณาและโปรโมชั่นอื่น ๆ ในการเพิ่มแรงจูงใจในการซื้อให้บรรลุผลตามที่คุณต้องการ
บทสรุป: การใช้ข้อมูลพิกัดตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เพื่อการเผยแพร่โฆษณาให้มีประสิทธิภาพสูง
หมายและรายละเอียดประวัติพฤติกรรมการผ่านการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลได้
ข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดที่หลากหลายและจะช่วยให้คุณพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจที่คำนึงถึงพฤติกรรมของเป้าหมายแต่ละราย
การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมายตามตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่บริษัทต่างๆ หลายแห่งใช้กัน
ทำความเข้าใจวิธีการทำงานของการกำหนดเป้าหมายตามตำแหน่งที่ตั้งและระบบที่ใช้บอกตำแหน่ง พิจารณาว่าเป็นวิธีที่มีประโยชน์เหมาะสำหรับการตลาดของคุณหรือไม่